วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บทที่ 3


สรุปบทที่3
วิศวกรรมระบบ(System Engineering)
        วิศวกรมระบบ (System Engineering) หมายถึง กระบวนการศึกษาและวิเคราะห์ของระบบที่มีความสลับซับซ้อน เพื่อสนับสนุนการทำงานในส่วนของวิศวกรรซอฟต์แวร์ กิจกรรมของวิศวกรรมระบบ จะถูกดำเนินไปพร้อมๆ กัน มีดังนี้
        1. กำหนดวัตถุประสงค์ของระบบ
        2. กำหนดขอบเขตระบบ
        3. แบ่งระบบออกเป็นส่วนๆ ตามฟังก์ชันการทำงานหรือคุณสมบัติของระบบ
        4. พิจารณาความสัมพันธ์ของส่วนประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
        5. กำหนดความสัมพันธ์ของปัจจัยนำเข้า ประมวลผล และผลลัพธ์
        6. พิจารณาปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบ ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ฐานข้อมูล หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์อื่นๆ เป็นต้อ
        7. กำหนดความต้องการในส่วนของการดำเนินการและฟังก์ชันทั้งระบบ
        8. สร้างแบบจำลองระบบ เพื่อใช้วิเคราะห์และพัฒนาให้สอดคล้องกับแบบจำลองซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้น
        9. นำเสนอและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ระบบ เจ้าของระบบ หรือแม้แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่มีต่อระบบ




กระบวนการวิศวกรรมระบบ
        กระบวนการวิศวกรรมระบบ ประกอบไปด้วยขั้นตอนการทำงานทั้งหมด 7 เฟส ได้แก่
                1. การกำหนดความต้องการ (Requirement Definition)
กระบวนการของวิศวกรรมระบบ เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ภาพรวมของทั้งองค์กร เพื่อกำหนดนิยามความต้องการของระบบให้ชัดเจน ด้วยการกำหนดหน้าที่ว่าระบบควรทำอะไรได้บ้าง
                2. การออกแบบระบบ (System Design)
                                เป็นการกำหนดรายละเอียดของฟังก์ชั่นในแต่ละส่วนประกอบของระบบ โดยมีกระบวนการย่อยดังนี้
                1. แบ่งส่วนความต้องการ (Partition Requirement) วิเคราะห์ความต้องการและจัดโครงสร้างด้วยการแบ่งกลุ่มความต้องการด้วยวิธีที่เหมาะสม
                2. กำหนดระบบย่อย (Identify Sub-System) นำระบบใหญ่มาแบ่งส่วนออกเป็นระบบย่อย ด้วยวิธีการหรือแนวทางที่เหมาะสม
                3. กำหนดความต้องการในแต่ละระบบย่อย (Assign Requirement) กำหนดความต้องการของแต่ละระบบย่อย ซึ่งต้องสอดคล้องกับความต้องการทั้งหมดของระบบ และจะซับซ้อนขึ้นเมื่อความต้องการมีการเปลี่ยนแปลง
                4. กำหนดฟังก์ชันของแต่ละระบบย่อย (Specify Sub-system Functionality) ซึ่งต้องสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละระบบย่อยด้วย
                5. กำหนดส่วนประสานของระบบย่อย แต่ละระบบย่อยจะต้องเตรียมส่วนประสานไว้บริการระบบย่อยอื่นๆ เพื่อการผนวกรวมระบบ
        3. การพัฒนาระบบย่อย (Sub-system Development)
เป็นการนำระบบย่อยที่ถูกกำหนดรายละเอียดไว้แล้วในระยะการออกแบบ มาสร้างตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ ตามกระบวนการที่เหมาะสม การพัฒนาระบบย่อยโดยทั่วไปจะดำเนินการแบบขนาน เมื่อพบปัญหาจะต้องย้อนกลับไปแก้ไขทันที เนื่องจากการแก้ไขระบบหลังจากการผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น จะทำให้เกิดต้นทุนที่สูงมาก จึงต้องหันมาแก้ไขที่ซอฟต์แวร์เอง ซึ่งความซับซ้อนของซอฟต์แวร์นั้นมีลักษณะเป็นลูกโซ่ คือ ต้องเริ่มแก้ตั้งแต่ข้อกำหนดความต้องการ งานออกแบบ มาจนถึงโค้ดโปรแกรม จึงทำให้การแก้ไขซอฟต์แวร์นั้นเป็นเรื่องยาก
        4. การผนวกรวมระบบ (System Integration)
ระบบย่อยใดที่พัฒนาเสร็จสิ้นแล้ว จะถูกผนวกรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นระบบที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ โดยใช้แนวทางที่เรียกว่า Big Bang ซึ่งเป็นการผนวกรวมระบบย่อยทั้งหมดในคราวเดียวกัน ซึ่งมองเห็นข้อผิดพลาดได้ยาก Incremental Integration Process เป็นการผนวกรวมระบบย่อยที่ละระบบ ทำให้มองเห็นความผิดพลาดของระบบได้ง่าย เมื่อผนวกรวมระบบแล้วต้องมีการทดสอบระบบอีกครั้ง

5. การติดตั้งระบบ (System Installation)
เมื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบจนมั่นใจว่าระบบสมารถติดตั้งได้แล้ว ก็ทำการติดตั้งระบบให้ผู้ใช้ ใช้งาน และต้องทำการติดตามประสิทธิภาพการทำงานของระบบหลังการติดตั้งด้วย เมื่อพบข้อผิดพลาดก็ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง
        6. การเปลี่ยนแปลงระบบ (System Evolution)
ในช่วงระยะเวลาของการใช้งานระบบ  อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ ทั้งในส่วนของระบบเองและสิ่งแวดล้อมระบบ โดยเจ้าระบบอาจต้องการแก้ไขข้อผิดพลาด รวมทั้งแก้ไขความต้องการของระบบเดิมให้เป็นไปตามความต้องการใหม่ เมื่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกันตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบ จะต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เนื่องจาการเปลี่ยนแปลงระบบต้องใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง
        7. การปลดระวางระบบ (System Decommission)
การปลดระวางระวางระบบ หมายถึง การเลิกใช้ระบบหลังพบว่าระบบไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป
ข้อแตกต่างและความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการวิศวกรรมระบบกับกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ มีดังนี้
        1. ขอบเขตของการแก้ไขงานในระหว่างการพัฒนาระบบ
        เมื่อทีมงานสามารถกำหนดระบบที่จะพัฒนาได้แล้วหากในระหว่างการดำเนินงานอยู่ นั้นมีการเปลี่ยนแปลงความต้องการบางอย่างละการเปลี่ยนแปลงได้รับการอนุมัติ การแก้ไขจึงเป็นเรื่องยาก จึงต้องแก้ไขที่ตัวซอฟต์แวร์ของระบบซึ่งง่ายกว่า
        2. ความสัมพันธ์ของงานด้านวิศวกรรม
        ระบบหนึ่งระบบอาจต้องประยุกต์ใช้งานวิศวกรรมลายด้าน ทั้งนี้เพื่อให้ส่วนประกอบต่างๆของระบบ ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ บุคลากร และข้อมูลส่วนอื่นๆ มีความสัมพันธ์สอดคล้องกันเป็นอย่างดี เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาดที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ จึงต้องอาศัยวิศวกรหลายคนเพื่อรับผิดชอบงานแต่ละด้าน

                                                                                                                               นายอดุลวิทย์  อาหมัด 510702473611

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น