สรุปบทที่3
วิศวกรรมระบบ(System Engineering)
วิศวกรมระบบ (System Engineering) หมายถึง กระบวนการศึกษาและวิเคราะห์ของระบบที่มีความสลับซับซ้อน
เพื่อสนับสนุนการทำงานในส่วนของวิศวกรรซอฟต์แวร์ กิจกรรมของวิศวกรรมระบบ จะถูกดำเนินไปพร้อมๆ
กัน มีดังนี้
1. กำหนดวัตถุประสงค์ของระบบ
2. กำหนดขอบเขตระบบ
3. แบ่งระบบออกเป็นส่วนๆ
ตามฟังก์ชันการทำงานหรือคุณสมบัติของระบบ
4. พิจารณาความสัมพันธ์ของส่วนประกอบต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
5. กำหนดความสัมพันธ์ของปัจจัยนำเข้า
ประมวลผล และผลลัพธ์
6. พิจารณาปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบ
ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ฐานข้อมูล หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์อื่นๆ
เป็นต้อ
7. กำหนดความต้องการในส่วนของการดำเนินการและฟังก์ชันทั้งระบบ
8. สร้างแบบจำลองระบบ
เพื่อใช้วิเคราะห์และพัฒนาให้สอดคล้องกับแบบจำลองซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้น
9. นำเสนอและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบ
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ระบบ เจ้าของระบบ
หรือแม้แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่มีต่อระบบ
กระบวนการวิศวกรรมระบบ
กระบวนการวิศวกรรมระบบ
ประกอบไปด้วยขั้นตอนการทำงานทั้งหมด 7 เฟส ได้แก่
1. การกำหนดความต้องการ
(Requirement Definition)
กระบวนการของวิศวกรรมระบบ
เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ภาพรวมของทั้งองค์กร
เพื่อกำหนดนิยามความต้องการของระบบให้ชัดเจน
ด้วยการกำหนดหน้าที่ว่าระบบควรทำอะไรได้บ้าง
2. การออกแบบระบบ (System
Design)
เป็นการกำหนดรายละเอียดของฟังก์ชั่นในแต่ละส่วนประกอบของระบบ
โดยมีกระบวนการย่อยดังนี้
1. แบ่งส่วนความต้องการ
(Partition Requirement) วิเคราะห์ความต้องการและจัดโครงสร้างด้วยการแบ่งกลุ่มความต้องการด้วยวิธีที่เหมาะสม
2. กำหนดระบบย่อย (Identify
Sub-System) นำระบบใหญ่มาแบ่งส่วนออกเป็นระบบย่อย
ด้วยวิธีการหรือแนวทางที่เหมาะสม
3. กำหนดความต้องการในแต่ละระบบย่อย
(Assign Requirement) กำหนดความต้องการของแต่ละระบบย่อย
ซึ่งต้องสอดคล้องกับความต้องการทั้งหมดของระบบ
และจะซับซ้อนขึ้นเมื่อความต้องการมีการเปลี่ยนแปลง
4. กำหนดฟังก์ชันของแต่ละระบบย่อย
(Specify Sub-system Functionality) ซึ่งต้องสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละระบบย่อยด้วย
5. กำหนดส่วนประสานของระบบย่อย
แต่ละระบบย่อยจะต้องเตรียมส่วนประสานไว้บริการระบบย่อยอื่นๆ เพื่อการผนวกรวมระบบ
3. การพัฒนาระบบย่อย (Sub-system
Development)
เป็นการนำระบบย่อยที่ถูกกำหนดรายละเอียดไว้แล้วในระยะการออกแบบ
มาสร้างตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ ตามกระบวนการที่เหมาะสม
การพัฒนาระบบย่อยโดยทั่วไปจะดำเนินการแบบขนาน
เมื่อพบปัญหาจะต้องย้อนกลับไปแก้ไขทันที
เนื่องจากการแก้ไขระบบหลังจากการผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น
จะทำให้เกิดต้นทุนที่สูงมาก จึงต้องหันมาแก้ไขที่ซอฟต์แวร์เอง
ซึ่งความซับซ้อนของซอฟต์แวร์นั้นมีลักษณะเป็นลูกโซ่ คือ
ต้องเริ่มแก้ตั้งแต่ข้อกำหนดความต้องการ งานออกแบบ มาจนถึงโค้ดโปรแกรม
จึงทำให้การแก้ไขซอฟต์แวร์นั้นเป็นเรื่องยาก
4. การผนวกรวมระบบ (System
Integration)
ระบบย่อยใดที่พัฒนาเสร็จสิ้นแล้ว
จะถูกผนวกรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นระบบที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์
โดยใช้แนวทางที่เรียกว่า Big
Bang ซึ่งเป็นการผนวกรวมระบบย่อยทั้งหมดในคราวเดียวกัน
ซึ่งมองเห็นข้อผิดพลาดได้ยาก Incremental Integration Process เป็นการผนวกรวมระบบย่อยที่ละระบบ ทำให้มองเห็นความผิดพลาดของระบบได้ง่าย
เมื่อผนวกรวมระบบแล้วต้องมีการทดสอบระบบอีกครั้ง
5.
การติดตั้งระบบ (System Installation)
เมื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบจนมั่นใจว่าระบบสมารถติดตั้งได้แล้ว
ก็ทำการติดตั้งระบบให้ผู้ใช้ ใช้งาน
และต้องทำการติดตามประสิทธิภาพการทำงานของระบบหลังการติดตั้งด้วย
เมื่อพบข้อผิดพลาดก็ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง
6. การเปลี่ยนแปลงระบบ (System
Evolution)
ในช่วงระยะเวลาของการใช้งานระบบ อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ
ทั้งในส่วนของระบบเองและสิ่งแวดล้อมระบบ โดยเจ้าระบบอาจต้องการแก้ไขข้อผิดพลาด
รวมทั้งแก้ไขความต้องการของระบบเดิมให้เป็นไปตามความต้องการใหม่ เมื่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกันตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบ
จะต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เนื่องจาการเปลี่ยนแปลงระบบต้องใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง
7. การปลดระวางระบบ (System
Decommission)
การปลดระวางระวางระบบ
หมายถึง การเลิกใช้ระบบหลังพบว่าระบบไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป
1. ขอบเขตของการแก้ไขงานในระหว่างการพัฒนาระบบ
เมื่อทีมงานสามารถกำหนดระบบที่จะพัฒนาได้แล้วหากในระหว่างการดำเนินงานอยู่
นั้นมีการเปลี่ยนแปลงความต้องการบางอย่างละการเปลี่ยนแปลงได้รับการอนุมัติ
การแก้ไขจึงเป็นเรื่องยาก จึงต้องแก้ไขที่ตัวซอฟต์แวร์ของระบบซึ่งง่ายกว่า
2. ความสัมพันธ์ของงานด้านวิศวกรรม
ระบบหนึ่งระบบอาจต้องประยุกต์ใช้งานวิศวกรรมลายด้าน
ทั้งนี้เพื่อให้ส่วนประกอบต่างๆของระบบ ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ บุคลากร
และข้อมูลส่วนอื่นๆ มีความสัมพันธ์สอดคล้องกันเป็นอย่างดี
เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาดที่ไม่อาจคาดการณ์ได้
จึงต้องอาศัยวิศวกรหลายคนเพื่อรับผิดชอบงานแต่ละด้าน
นายอดุลวิทย์ อาหมัด 510702473611